วิเคราะห์หลังเกมส์ บราซิล 3-1 เปรู

บราซิล ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางเอาไว้หลังจากรวมพลังประจัญบานคว่ำ เปรู 3-1 ที่ สนามเอสตาดิโอ มาราคาน่า ส่งผลให้ “แซมบ้า” ผงาดคว้าแชมป์ โคปา อเมริกา 2019 โดยเป็นแชมป์รายการนี้ครั้งแรกในรอบ 12 ปีของประเทศ และเป็นสมัยที่ 9 ด้วย

1. บราซิลยุคใหม่สไตล์ใหม่

ปกติเวลาที่เราดู ทีมชาติบราซิล ลงเล่น เรามักจะคาดหวังที่จะได้เห็นฟุตบอลสไตล์ บราซิเลี่ยน ที่เน้นโชว์ทักษะ หรือความสามารถเฉพาะตัวที่ทำให้แฟนบอลเฮไปตามๆ กัน แต่นั่นกลับไม่ใช่สิ่งที่ ติเต้ กุนซือคนเก่งต้องการให้เกิดขึ้นในยุคที่เขากุมบังเหียน โดยเจ้าตัวเน้นย้ำลูกทีมทุกครั้งไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบันว่าต้องโฟกัสไปที่การทำงานหนักเพื่อนำชัยชนะมาสู่ทีมมากกว่าการโชว์ฟอร์มสวยงามเลิศเลอเอาใจแฟนบอล และนั่นก็ได้ส่งผลตอบแทนที่แสนคุ้มค่าให้กับพวกเขา โดยการคว้าแชมป์โคปา อเมริกา เกิดจากการที่นักเตะทุกคนเล่นเพื่อทีมมากกว่าต้องการโชว์ความสามารถเฉพาะตัว ซึ่งเห็นได้ชัดในเกมกับ เปรู นัดชิง ที่แข้งบราซิเลียน พยายามวิ่งไล่บอล และช่วยกันตลอดโดยเฉพาะตอนที่เหลือแค่ 10 คนจนทำให้คู่แข่งต้องพบกับความยากลำบาก

2. เชซุส ถึงจะโดนแดง แต่ก็ทั้งยิงทั้งจ่าย

กาเบรียล เชซุส มีส่วนสำคัญกับ 4 ประตูสุดท้ายของ บราซิล โดยยิงได้ 2 ประตู และ 2 แอสซิสต์ นอกจากนี้เจ้าตัวยังถือว่าทำผลงานได้อย่างโดดเด่นกับการเล่นในเกมนัดชิงชนะเลิศ ที่ปะทะกับ เปรู เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา (เช้าตรู่วันจันทร์ตามเวลาประเทศไทย) ถึงแม้ในนามสโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เชซุส จะไม่ค่อยได้รับโอกาสให้โชว์ความสามารถมากนัก แต่เมื่อถึงเวลาที่ลงเล่นให้กับทีมชาติ เชซุส ก็แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเท ทักษะที่เหนือชั้น รวมถึงจังหวะสำคัญๆ ที่ทีมต้องการการเปลี่ยนแปลงหรือโอกาส เชซุส ก็บันดาลให้ได้ อย่างในนัดนี้ เชซุส ช่วยแอสซิสต์ให้ เอแวร์ตอน ยิงประตูขึ้นนำให้กับ บราซิล หรือหลังจากที่ทีมถูกตีเสมอ ก็เป็น เชซุส ที่จัดการซัดประตูให้ทีมขึ้นนำได้อีกครั้ง ถึงแม้จะโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม แต่ก็ต้องบอกว่านัดนี้เป็นนัดที่น่าประทับใจสำหรับ เชซุส จริงๆ

3. อลีสซง ฟอร์มเหนียวหนึบต่อเนื่อง

อลีสซง เบ็คเกอร์ ยังคงรักษาฟอร์มการเล่นที่เหนียวหนึบทั้งกับ ลิเวอร์พูล และ ทีมชาติบราซิล โดยเจ้าตัวทำผลงานชนิดที่กาวตราช้างยังต้องเรียกพี่ ถึงแม้จะเสีย 1 ประตูในนัดนี้  อลีสซง ก็ยังได้รับรางวัลถุงมือทองคำ หรือ “โกลเด้น โกลฟ” ประจำทัวร์นาเมนต์อยู่ดี และนี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ ทีมชาติบราซิล คว้าแชมป์รายการนี้ไปครอง”

4. เปรู สู้ได้ดีแต่ยิงไม่คม

ในนัดนี้ต้องยอมรับใจของทางฝั่ง เปรู ที่วิ่งสู้ฟัดแบบกัดไม่ปล่อยตลอดเกมส์ จนทีมมีโอกาสทำประตู บราซิล ได้หลายครั้ง แต่กลับยิงไม่เข้ากรอบกันเอง หรือแม้กระทั่งช่วงที่ตัวผู้เล่นได้เปรียบ ทาง เปรู ก็เดินไล่บดขยี้ บราซิล จนแทบจะไม่มีเวลาว่างเหลือให้ นักเตะบราซิล หายใจกันเลยทีเดียว แต่สุดท้ายด้วยความสามารถเฉพาะตัวของ เอแวร์ตอน พาบอลแหวกแนวรับ เปรู เข้าไปในเขตโทษ ก่อนจังหวะสุดท้ายโดน คาร์ลอส ซามบราโน่ กระแทกล้มลงไป ผู้ตัดสินชี้เป็นจุดโทษทันที ส่งผลให้ บราซิล ได้ประตูปิดตาย 3-1 คว้าแชมป์ไปครอง แม้ เปรู จะต่อบอลได้ดี เดินหน้าวิ่งไล่บี้คู่แข่งได้มากขนาดไหน แต่ถ้ายิงไม่ได้ มันก็ไร้ผล

 

Leave a Comment

Scroll to Top